วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตำนานเทพเจ้าแห่งวิศวกรรม


เฮฟเฟสตุส (Hephaestus) หรือ วัลแคน 
เทพแห่งไฟ โลหะ และการช่า

เฮฟเฟสตุส (Hephaestus) หรือ วัลแคน เทพแห่งไฟ โลหะ และการช่าง

เป็นบุตรของ Zeus กับ Hera (บางตำราว่าเป็นบุตรของ Hera ผู้เดียว) พระองค์เป็นเทพที่พิการและอัปลักษณ์ มีประวัติกำเนิด เล่าแตกต่างกันเป็น 2 นัย

นัยหนึ่งว่าเป็น เทพบุตรของ เทวีฮีรากับเทพปรินายกซุสโดยตรง แต่อีกนัยหนึ่งว่าเฮฟเฟสตุสถือกำเนิดแต่เทวีแม่ฮีรา ทำนองเทวีเอเธน่า เกิดกับซุสฉะนั้น คือผุดขึ้นจากเศียรของเทวีโดยลำพังตนเอง ทั้งนี้เนื่องด้วย เจตจำนงของเทวีฮีรา ที่ต้องการจะแก้ลำซุส ในการกำเนิดของเทวีเอเธน่า ให้เทพทั้งปวง เห็นว่าเมื่อซุสทำให้เทวีเอเธน่าเกิดเองได้ เทวีก็สามารถทำให้ เฮฟเฟสตุสเกิดเองได้เช่นกัน แต่ถึงกำเนิดของเทพเฮฟเฟสตุสจะเป็นประการใด ก็ต้องนับว่า เฮฟเฟสตุส เป็นเทพบุตรของ ซุส ด้วยเช่นกัน หากมีข้อควรกล่าวก็ คือว่า เฮฟเฟสตุส ติดแม่มากกว่าติดพ่อ และเข้ากับแม่ทุกคราว ที่พ่อแม่ทะเลาะกัน ในคราวหนึ่งซุสประสงค์จะลงโทษเทวีฮีรา ให้เข็ดหลาบ เอาโซ่ทองล่าม เทวีแขวนไว้กับ กิ่งฟ้าห้อยโตงเตงอยู่ ดังนั้นเฮฟเฟสตุสก็เข้าช่วยเทวี พยายามแก้ไขโซ่ จะให้เทวีเป็นอิสระ ซุส บันดาลโทสะ จึงจับ เฮฟเฟสตุส ขว้างลงมาจากสวรรคโลก

เนื่องด้วยเหตุดังกล่าว พระองค์จึงถูกพระบิดา และมารดาทอดทิ้ง Hephaestus ใช้เวลาช่วง 10 ปีแรกอยู่ในทะเล และได้สร้างโรงหล่อไว้ใต้ภูเขา Aetna มี Cyclops เป็นคนงาน โดยสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้น มีดังนี้

อาวุธของ Achilles และ Aeneas คทาของ Agamemnon สร้อยคอของ Harmonia ซึ่งผู้สวมใส่จะประสบเคราะห์ร้าย โล่ของ Heracles

เฮฟเฟสตุส ตกจากสวรรค์เป็นเวลาถึง 9 วันจึงลงมาถึงมนุษย์โลก ณ เกาะเลมนอสในทะเลเอจีน และเนื่องใน การตกครั้งนี้ เฮฟเฟสตุสจึงมีบาทแปเป๋ไปข้างหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมา แต่ทั้งที่ต้องพิการเช่นนั้น ด้วยหมายจะช่วยมารดา เทวีฮีรา ผู้เป็นมารดา ก็หาแยแสเหลียวแลไม่ เฮฟเฟสตุสเทพบุตร บังเกิดความโทมนัสซ้ำเติมอย่างแสนสาหัสใน ความเฉยเมยของเทวี ถึงแก่ตั้งปณิธานว่า จะไม่กลับขึ้นไปบนเขาโอลิมปัสอีก เฮฟเฟสตุสจึงสร้างวังประทับ อยู่ในเกาะเลมนอส และตั้งโรงหล่อ เพลิดเพลิน ในการช่าง ฝีมือประกอบ โลหะนานาชนิด โดยมีพวก ยักษ์ไซคลอปส์ เป็นลูกมือ และเพื่อจะแก้ลำ ความเมินเฉยของมารดา จึงสร้างบัลลังก์ทองคำ เปล่งสะพรั่งพร้อม ด้วยลวดลาย สลักเสลาอย่างหาที่ เปรียบมิได้ ขึ้นตัวหนึ่ง เป็นบัลลังก์กล ประกอบด้วยลานกลไกซ่อนอยู่ข้างใน ส่งขึ้นไปถวาย เทวีฮีรา เทวียินดีในรูปลักษณะ อันแสนงามของบัลลังก์กล สำคัญว่าเป็นของบุตรถวายโดยซื่อ พอขึ้นประทับ เครื่องกลไก ที่ซ่อนอยู่ ก็ดีดกระหวัด รัดองค์เทวีตรึงติดกับบัลลังก์อย่างมั่นคง จนไม่สามารถแม้แต่ จะขยับเขยื้อนองค์ แม้เทพทั้งปวงจะรวมกำลังกัน เข้าแก้ไขก็จนปัญญา ไม่มีทางปลดเปลื้องพันธนาการ ให้หลุดออกไปได้ เมื่อเหลือกำลังทวยเทพ ดังนั้น เฮอร์มีส เทพผู้มีลิ้นทูต จึงอาสามาเกลี้ยกล่อม วอนง้อขอให้ เฮฟเฟสตุส ขึ้นไปช่วยแก้ แต่ลิ้นทูตของเฮอร์มีสกลับไม่สำเร็จ ในกรณีนี้ แม้จะหว่านล้อมสักเพียงใด ก็ไม่อาจชักจูงเฮฟเฟสตุส ให้ขึ้นไปบนเขาโอลิมปัสได้

ทวยเทพประชุมปรึกษากันอีกวาระหนึ่ง มองไม่เห็นใครนอกจากเทพ ไดโอนิซัส จะช่วยได้ จึงเห็นชอบ พร้อมกันส่ง ไดโอนิซัส ลงมาเกลี้ยกล่อมเทพเฮฟเฟสตุสด้วย อุบาย คือใช้วิธีมอมเฮฟเฟสตุส ด้วยน้ำองุ่น จนเฮฟเฟสตุส เคลิบเคลิ้มมึนเมา แล้วไดโอนิซัส ก็พาเฮฟเฟสตุสขึ้นไปแก้เครื่องกลพันธนาการให้เทวีฮีราเป็น อิสระจนได้ ใช่แต่เท่านั้น ไดโอนิซัส ยังช่วยไกล่เกลี่ยให้เทพบิดามาดรและเทพบุตรออมชอมเข้ากันได้ดังปกติอีกด้วย

แต่ทั้งที่ได้รับความยกย่องโปรดปรานเทียมเท่าเทพองค์อื่น ๆ ในคณะเทพโอลิมเปียนแล้วเช่นนั้น เฮฟเฟสตุส ก็ไม่ยินดี ที่จะอยู่บนเขาโอลิมปัสเป็นประจำ จะขึ้นไปก็เฉพาะคราวประชุมเทพ และในวาระอื่น ๆ เท่านั้น ในยามปกติ จะขลุกอยู่ในโรงหล่อ และหมกมุ่น ง่วนกับงานช่างเป็นนิตย์ จะเปรียบก็เป็น พระเวสสุกรรมของกรีก เพราะการสร้าง วังที่ประทับ ของเทพแต่ละองค์ บนเขาโอลิมปัสนั้นเป็นพนักงานของเฮฟเฟสตุสทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังเป็นผู้ออกแบบ ประกอบเครื่องตกแต่งตำหนักต่าง ๆ ด้วยโลหะ ประดับมณีแวววาวจับตา ยังมีการประกอบอสนีบาตเป็นอาวุธถวายแก่ ซุส และ ศรรักให้ อิรอส


ตำนานเทพแห่งศาสนาพราหมณ์ฮินดู



ตำนานเทพแห่งศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู
• ศาสนาพราหมณ์มีการนับถือเทพหลายองค์ ได้แก่ พระวิษณุ พระศิวะ และพระพรหม เหตุผลที่สำคัญก็คือเทพเจ้าทั้งหมดมีฤทธานุภาพสามารถบันดาลทุกข์สุขให้กับมนุษย์บนพื้นโลกนั่นเอง
• สำหรับผู้ที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่ที่สุดจะมีชื่อเรียกว่า “ลัทธิไศวนิกาย” ส่วนผู้ที่นับถือพระวิษณุเป็นใหญ่ที่สุด มีชื่อเรียกว่า “ลัทธิไวษณพนิกาย” และผู้ที่ให้ความเคารพนับถือเทพเจ้าพร้อมกันทั้ง 3 องค์ มีชื่อเรียกว่า “ตรีมูรติ”
พระศิวะหรือพระอิศวร : เทพผู้ทำลายและสร้างโลก
• ในครั้งแรกสุด พระพรหมได้เป็นผู้สร้างโลกและสร้างจักรวาลขึ้นมา แต่ก็ได้เกิดปัญหามากมายขึ้นบนโลกมนุษย์ พระศิวะจึงได้ทำลายโลก พอในเวลาต่อมาพระศิวะ ก็ได้มีการสร้างโลกขึ้นมาใหม่ โดยสร้างพระนารายณ์ขึ้นมาเป็นผู้ดูแลรักษาด้วย
• ลักษณะของพระศิวะ มี 1 เศียร 4 กร 3 พระเนตร ซึ่งพระเนตรส่วนที่ 3 นั้นจะอยู่กึ่งกลางหน้าผาก จะทรงนุ่งหนังกวาง แล้วยังมีสร้อยสังวาลเป็นงู ส่วนพระหัตถ์ทรงตรีสูร ทรงโคนนทิเป็นพาหนะ ให้สังเกตดูหากได้พบรูปปั้นโคนนทิ อยู่บริเวณทางเดินที่จะต้องเข้ามายังปราสาท หรือมีรูปโคนนทิอยู่ในปราสาท นั่นหมายถึงว่าได้มีการสร้างปราสาทแห่งนั้นเพื่ออุทิศแด่พระศิวะ
• นอกจากนี้ พระศิวะยังสามารถกำหนดโชคชะตาของมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลกโดยวิธีการร่ายรำที่มีชื่อเรียกว่า “ศิวนาฏราช” โดยเฉพาะที่สำคัญคือ ถ้าหากมีการร่ายรำด้วยความอ่อนช้อย ก็จะช่วยให้บรรดาเหล่ามนุษย์โลกอยู่เย็นเป็นสุข
พระวิษณุหรือพระนารายณ์ : เทพผู้รักษาคุ้มครองโลก
• คำว่า “พระนารายณ์” หมายถึง ผู้ที่ได้เคลื่อนไหวอยู่ในน้ำ คือกำลังบรรทมอยู่เหนือหลังพญานาคราช ชาวฮินดูที่นับถือไวษณพนิกาย จะเชื่อถือว่า พระวิษณุหรือพระนารายณ์นั้นจะต้องเป็นเทพสูงสุด หลักฐานตามคัมภีร์พราหมณ์ปุราณะ ได้กล่าวไว้ว่า พระศิวะได้ทรงสร้างโลกขึ้นมา แต่งานที่จะรักษาโลกให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขเป็นเรื่องที่ยากกว่า ดังนั้นพระศิวะจึงสร้างพระวิษณุ ให้มาเป็นผู้ช่วยรักษา ในช่วงเวลาที่สร้างโลกอยู่นั้น พระนารายณ์ก็จะอวตาร เพื่อจะลงมาช่วยปราบยุคเข็ญในโลกเป็นจำนวนมากถึง 10 ครั้ง ได้แก่ อวตารเป็น ปลา เต่า หมูป่า นรสิงห์ พราหมณ์ถือขวานเพชร พราหมณ์เตี้ย พระราม พระกฤษณะ พระพุทธเจ้า บุรุษที่ชือกัลลี 
ลัษณะของพระวิษณุ มี 4 กร ทรงถือคฑา สังข์ จักร และดอกบัว มีพาหนะเป็นครุฑ
• พระนารายณ์อวตารมาปราบกลียุคในโลกมนุษย์และโลกสวรรค์ มีทั้งหมด 10 ปาง ได้แก่
1.ปางมัตสยาวตาร อวตาลเป็นปลาขนาดใหญ่โต เนื่องจากต้องการจะปราบหัยศรีอสูร หรือยักษ์ชื่อหัยครีพ เพราะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เหล่ามนุษย์ทั้งหลายหลงผิด จนกระทั่งทำให้เกิดน้ำท่วมโลกขึ้นมา
2.ปางกูรมาวตาร อวตารเป็นเต่ายักษ์ในการกวนเกษียรสมุทร เพราะต้องการจะเอากระดองมารองรับเขามันทระ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดแผ่นดินทะลุลงไปยังโลกมนุษย์ได้
3.ปางวราหาวตาร อวตารเป็นหมูป่า เพราะต้องการที่จะทำการปราบอสูร หิรัณยักษา นอกจากนี้เองก็ยังต้องการที่จะกอบกู้โลกไม่ให้หิรัณยักษา กดให้จมน้ำ
4.ปางนรสิงหาวตาร อวตารลงมาเกิดเป็นสัตว์ที่มีลักษณะครึ่งคนครึ่งสิงห์ เพราะต้องการที่จะปราบเจ้ายักหิรัณยกศิปุ ที่อาละวาดไปทั่วทั้ง 3 โลก ได้แก่ โลกสวรรค์ โลกบาดาล และโลกมนุษย์ เนื่องจากเจ้ายักษ์หิรัณยกศิปุนั้นได้รับพรมาจากพระพรหมว่า ไม่มีใครมนุษย์ สัตว์ เทวดา ยักษ์หรือผู้ใดฆ่าให้ตายได้ ไม่มีอาวุธชนิดใดฆ่าให้ตายได้ ไม่ตายในเวลากลางวันและกลางคืน ไม่ตายในบ้านและนอกบ้าน ดังนั้นพระนารายณ์จึงได้อวตารเป็นนรสิงห์ เพื่อจะฆ่ายักษ์ตนนี้ ลองมาติดตามตอนนี้ดูนะครับ..
“เมื่อพระวิษณุอวตาลเมื่อเป็นนรสิงห์ เพื่อปราบยักษ์หิรัณยกศิปุ ซึ่งฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย จึงรู้ว่าเจ้ายักษ์ตนนี้ได้รับพรวิเศษจากพระพรหม จึงได้จับยักษ์หิรัณยกศิปุมาวางพาดตรงขื่อธรณีประตูบ้าน ซึ่งเวลานั้นเป็นเวลาโพล้เพล้ แล้วถามเจ้ายักษ์ว่า “เราเป็นมนุษย์ใช่มั๊ย เป็นเทวดาใช่มั๊ย เป็นยักษ์ใช่มั๊ย เป็นสัตว์ใช่มั๊ย” ซึ่งเจ้ายักษ์ก็ตอบไม่ได้ แล้วก็ถามต่อว่า “เวลานี้กลางวันหรือกลางคืน” ยักษ์ก็ตอบไม่ได้เช่นกัน แล้วก็ถามต่อว่า “ตอนนี้ตัวท่านอยู่ในบ้านหรือนอกบ้าน” ยักษ์ก็ตอบไม่ได้อีก จากนั้นก็ถามว่า “เล็บมือเราเป็นศาสตราวุธหรือไม่” เจ้ายักษ์ก็ตอบว่า ”ไม่” เจ้านรสิงห์ก็เลยเอากรงเล็บฉีกอกยักษ์หิรัณยกศิปุจนตาย เพราะว่าพรของพระพรหมที่ให้ไว้เสื่อมครับ
สำหรับเรื่องนี้จึงเป็นที่มาของความเชื่อของคนต่างจังหวัดว่า “ห้ามนอนก่อนตะวันตกดิน” และ “ห้ามนั่งทับธรณีประตู” ครับผม... 
5.ปางวามนาวตาร อวตาลเป็นพราหมณ์แคระหรือพรามณ์วามนะ ซึ่งมีฤทธิ์เดชมากเพราะต้องการจะมาทรมานอสูรพลี ที่ได้ครองโลกทั้ง 3 อยู่ และไม่มีใครสามารถปราบลงได้ ด้วยเหตุนี้เองพรามณ์วามนะจึงได้ทำการสะกดจิตอสูรพลีเพื่อต้องการให้ยอมเอ่ยสัญญา เมื่อพรามณ์วามนะอยากจะขอพื้นที่บนโลกมนุษย์เพียง 3 ก้าวเท่านั้นเพื่ออาศัย เจ้ายักษ์พลีก็ยินยอมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่หารู้ไม่ว่าหลงกลเจ้าพราหมณ์วามนะ ส่วนเจ้าพราหมณ์ก็ได้ทำการเนรมิตให้ร่างกายมีขนาดใหญ่โต ก้าวเพียง 3 ก้าวก็ได้อาณาเขตไปถึงโลกสวรรค์ โลกบาดาล และโลกมนุษย์ จากนั้นก็ได้ให้ยักษ์พลี ลงไปอยู่ยังใต้บาดาลแทน
6.ปางปรศุรามาวตาร อวตาลเป็นพราหมณ์ โดยได้ถือขวานเพชร เพราะต้องการปราบกษัตริย์ผู้ปราศจากคุณธรรม นอกจากนี้แล้วยังได้ทำการชำระโลกถึง 21 ครั้ง เพียงต้องการทำลายล้างกษัตริย์ให้สิ้นไป
7.ปางรามาวตารหรือรามจันทราวตาร อวตาลเป็นพระรามเพราะต้องการปราบยุคเข็ญและปราบทศกัณฑ์ โดยตามเนื้อเรื่องของคัมภีร์รามายณะ มีฤๅษีวาลมิ เป็นชาวอินเดียแต่งขึ้นมาเมื่อ 2,400 ปีเศษ หลังจากนั้นก็ได้แพร่กระจายออกไปยังประเทศใกล้เคียง 
8.ปางกฤษณาวตาร อวตาลเป็นพระกฤษณะ ผู้ที่มีลักษณะผิวกายเป็นสีดำ เพราะต้องการจะปราบเหล่าคนชั่วที่อยู่ในโลก ได้แก่ กษัตริย์กังสะหรือพญากงส์ นอกจากนี้แล้วยังได้เป็นผู้อบรมสั่งสอนพระอรชุน ในด้านธรรมะต่างๆ ภายหลังได้กลายเป็นคำสอนที่อยู่ใน “คัมภีร์ภควัทคีตา” แล้วยังเป็นสารถีขับรถม้าให้กับ พระอรชุน ซึ่งเป็นแม่ทัพฝ่ายปาณฑพ ในสงคราม “มหาภารตยุททธ์” จนได้รับชัยชนะในที่สุด
9.ปางพุทธาวตาร อวตาลมาเป็นพระพุทธเจ้า เนื่องจากต้องการชี้แนะแนวทางให้ผู้ที่หลงผิด ให้ได้เห็นความถูกต้องที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง แต่ก็ยังเป็นความขัดแย้งกับศาสนาพราหมณ์ เพราะการที่พราหมณ์ได้จัดเอาพระสมณโคดม เป็นปางที่ 9 ของพระนารายณ์ สาเหตุเพราะได้รู้ว่ามีผู้เลื่อมใสในทางพุทธศาสนาจำนวนมาก จนในที่สุดก็เกินกำลังและไม่สามารถเปลี่ยนความคิดเหล่านั้นได้อีกต่อไป สุดท้ายจึงได้ผนวกเอาพระพุทธเจ้าให้เป็นอวตารของพระนารายณ์เสียเลย ซึ่งไม่สามารถยอมรับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นสิ่งถูกต้องต่อไปได้อีกแล้ว ไม่เช่นนั้นก็เท่ากับว่าต้องยอมรับว่าคำสั่งสอนของเหล่าพราหมณ์ทั้งหลายนั้นผิดหมด จึงจำเป็นต้องหาคำกล่าวมาแก้ต่างต่อไปว่าพระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า
10.ปางกัลกยาวตาร อวตารลงมาเป็นอัศวินม้าขาวหรือบุรุษชื่อกัลลี มีดาบวิเศษอันทรงฤทธิ์ เพราะต้องการที่จะปราบคนชั่ว และได้เริ่มมีการสถาปนาระบบธรรมะขึ้นมาใหม่ เพื่อต้องการที่จะให้สังคมบ้านเมืองมีแต่ความสุขตลอดไป 
พระพรหม : เทพเจ้าผู้สร้างจักรวาลและโลก
• พระพรหมเป็นเทพเจ้าองค์แรกในตรีมูรติ (ได้แก่ พระพรหมณ พระนารายณ์ และพระอิศวร) ในตำราได้กล่าวไว้ว่า พระพรหมนั้นมีกายสีแดง มี 4 พระพักตร์ พระกร 4 ข้าง ถือคฑา ลูกประคำ หม้อน้ำ หรือคันศร ประทับอยู่บนอาสน์บัวบาน และทรงหงส์เป็นพาหนะ ชาวฮินดูที่นับถือไวษพณิกาย จะมีความเชื่ออยู่ว่าพระพรหมได้เกิดออกจากพระนาภีร์(สะดือ)ของพระนารายณ์ ในช่วงเวลาขณะที่กำลังบรรทมอยู่เหนือลำตัวพญานาคในทะเลน้ำนมหรือเกษียรสมุทร 
พระหริหระ
• พระหริ เป็นการรวมเอาพระวิษณุ(หริ) กับ พระศิวะ(หระ) โดยรูปทางด้านซ้ายเป็นพระวิษณุ ส่วนรูปทางทางด้านขวาเป็นพระศิวะ
พระอินทร์ : เทพผู้รักษาทางด้านทิศตะวันออกและผู้พิทักษ์พุทธศาสนา
• ลักษณะ : พระอินทร์มีพระฉวีจะเป็นสีเขียว และมีพระเนตรมากถึง 1,000 ดวง โดยประทับอยู่ในชั้นวิมาน “อมราวดี” มีบรรดาเหล่านางฟ้าและคนธรรพ์ล้อมรอบอยู่มากมาย ถือวัชระ 6 แฉก เป็นสัญลักษณ์ของสายฟ้า นอกจากนี้ในบางครั้งก็ยังถือดอกบัวอยู่ในพระหัตถ์ ทรงช้างเอราวัณเป็นพาหนะ
พระนางอุมาเทวี : ผู้ซึ่งเป็นเทวีแห่งความเมตตา 
• พระนางอุมาเทวี เป็นพระชายาของพระศิวะ มีลักษณะพิเศษ มี 2 ภาคอยู่ในร่างเดียวกัน ได้แก่ พระอุมาเทวี หรือ ปารพตี โดยจะมีความเรียบร้อยและความเมตตา แต่ในทางตรงข้ามก็จะมีลักษณะที่มีความรุนแรงและโหดร้าย เรียกว่า เจ้าแม่กาลีหรือทุรคา ด้วยเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเกิดมาจากการที่มีเหล่าเทพได้พากันมาช่วยชุบขึ้นเพื่อช่วยกันปราบอสูร ส่วนโอรสของพระนางอุมาเทวีคือ พระขันธกุมาร ซึ่งเป็นเทพแห่งการทำสงคราม และ พระพิฆเนศวร เป็นโอรสของนางทุรคา เศียรจะมีลักษณะเป็นช้าง ซึ่งได้ถูกยกให้เป็นเทพแห่งศิลปะวิทยาการและเทพแห่งความสำเร็จ
พระสุรัสวดี : ผู้ซึ่งเป็นเทวีแห่งภาษาและความรู้
• พระสุรัสวดีเป็นชายาของพระพรหม โดยหลักฐานจากคัมภีร์มัสยาปุราณะ ได้กล่าวไว้ว่า พระพรหมธาดาซึ่งเป็นผู้สร้างพระนางขึ้นมาเอง ต่อมาภายหลังได้เกิดหลงรักในธิดา และในครั้งนี้เองได้เกิดอภิเษกกับพระธิดาของพระองค์เอง
• ลักษณะ : พระนางสุรัสวดี จะทรงมีพระวรกายขาว ประทับนั่งอยู่บนดอกบัว โดยพระบาทห้อยลงมายังเบื้องล่างข้างหนึ่ง ส่วนพระกรจะถือพิณ บางแห่งที่ได้พบเห็นจะมีเพียงพระพักตร์เดียวเ หรืออาจจะมี 4 พระพักตร์ก็ได้ แต่มี 4 พระกร แต่ในบางแห่งจะมีถึง 8 พระกร ทรงสวมส่าหรี สวมมงกุฎ และเครื่องประดับ ประทับบนหลังนกยูงทองคำ
พระนางลักษมี : เทวีแห่งความมั่งคั่งและเทวีแห่งความดีงาม
• พระนางลักษมีเป็นชายาของพระวิษณุ ตามหลักฐานของคัมภีร์รามายณะ ได้มีคำกล่าวถึงตอนที่เหล่าเทวดาและยักษ์ทั้งหลายทำการกวนเกษียรสมุทรเพื่อน้ำอมฤต ในการกวนเกษียรสมุทร ได้เกิดสิ่งวิเศษขึ้นมาถึง 14 อย่างและเกิดพระลักษมีขึ้นมาด้วย ครั้นพอพระนางได้ปรากฏกายขึ้นมา ทางด้านของพระนารายณ์หรือพระวิษณุในขณะนั้นยังทรงอวตารอยู่ในลักษณะของเต่าที่มีขนาดใหญ่ ได้เห็นพระนางลักษมี จึงรู้สึกพึงพอใจขึ้นมาในทันที จึงได้แสดงถึงความมีอำนาจฤทธิ์เดชของพระองค์ ทำการบันดาลให้พระนางเข้ามาเป็นชายาของพระองค์ได้อย่างสมปรารถนา
พระพิฆเนศวร : เทพแห่งศิลปะวิทยาการและเทพแห่งความสำเร็จ
• ผู้ซึ่งเป็นโอรสของพระอิศวรและพระอุมาเทวี (ในภาคของนางทุรคา) เป็นพระเชษฐาของพระขันธกุมาร โดยมีเศียรลักษณะเป็นช้าง ตัวแทนแห่งเทพแห่งศิลปะวิทยาการและเทพแห่งความสำเร็จ มีผู้ที่ให้ความเคารพนับถือกันอย่างมากมาย ทรงหนูเป็นพาหนะ
พระอาทิตย์ : เทพแห่งไฟหรือดวงตะวัน
• พระอาทิตย์เป็นบุตรของพระแม่อทิติและเทพกัศยปะ เมื่อประสูติปรากฏว่าพระแม่อทิติผู้เป็นพระมารดาไม่ได้นำไปเข้าเฝ้าต่อพระผู้เป็นเจ้า เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นพระอาทิตย์จึงต้องทำการขับดวงตะวัน ซึ่งเป็นพาหนะประจำกาย เมื่อต้องการจะไปยังโลกมนุษย์และสรวงสวรรค์ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน พระอาทิตย์มีพาหนะเป็นราชสีห์
พระจันทร์ : เทพเจ้าแห่งเสน่ห์
• จากหลักฐานในคัมภีร์โบราณได้มีการกล่าวเอาไว้ว่า พระจันทร์นั้นมีลักษณะเป็นเทวะหนุ่ม ที่มีรูปงามมีเสน่ห์ที่แรงกล้ายิ่งนัก รวมทั้งมีความเจ้าชู้เป็นอย่างมาก เพราะได้เคยเข้าไปลักลอบเกี้ยวพาราสีชายาของพระพฤหัสบดี ส่วนทางฝ่ายพระพฤหัสบดีเมื่อได้ทราบเรื่องราวไม่รอช้า ได้รีบออกติดตามเข้ามาถึงยังวิมานของพระจันทร์ เพราะต้องการจะนำตัวพระชายากลับคืนมา แต่แล้วเหตุการณ์ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะพระจันทร์ไม่ยอมคืนให้ ในเหตุการณ์ครั้งนี้เองจึงทำให้เกิดศึกสงครามขึ้นมา เมื่อพระพรหมชั้นผู้ใหญ่ได้รับทราบเรื่องราวอย่างละเอียดถี่ถ้วน จึงได้สั่งให้บรรดาเหล่าเทวะที่อยู่บนสวรรค์เข้ามาช่วยกันห้ามทัพครั้งนี้ อีกทั้งยังได้จัดการให้พระจันทร์ได้คืนชายาแก่พระพฤหัสบดีกลับคืนไป ทางด้านพระจันทร์เองก็ต้องถูกลงทัณฑ์ไม่ให้เข้าร่วมประชุมในเทวสภาด้วย
• แต่มีหลักฐานจากบางตำราได้มีการกล่าวเอาไว้ว่า ในครั้งที่เหล่าอสูรเทพและเหล่าเทวะทั้งหลายได้เข้ามาช่วยกันทำพิธีกวนน้ำอมฤต เพราะต้องการที่จะให้เพิ่มฤทธานุภาพแก่บรรดาเหล่าทวยเทพทั้งหลาย ในช่วงเวลาขณะที่กำลังกวนน้ำอมฤต ก็ได้ปรากฏการเกิดของเทวะขึ้นมาองค์หนึ่ง นั่นก็คือ พระจันทร์
พระราหู : เทพนพเคราะห์ 
• เมื่อครั้งแรกเกิดนั้น พระราหูจะมีหางเป็นนาค ซึ่งได้สถิตอยู่ในชั้นวิมานสีนิลหรือสีดำขลับ แล้วยังมีพญาครุฑเป็นพาหนะ พระราหูนั้นถือได้ว่าเป็นเทวะองค์ที่ 8 ในเหล่าบรรดาเทพแห่งนพเคราะห์ ในบันทึกคัมภีร์อินเดียยุคโบราณ ได้มีคำกล่าวเอาไว้ว่า พระราหูได้ทำการแปลงตัวให้เป็นเทวะองค์หนึ่ง เพื่อที่จะเข้าร่วมของการชุมนุมเหล่าทวยเทพในการกวนเษียรสมุทรและต้องการที่จะดื่มน้ำอมฤตด้วย แต่พระอาทิตย์และพระจันทร์เห็นเสียก่อน จึงได้รีบนำคำไปบอกแก่พระวิษณุว่า พระราหูแปลงร่างลงมาเป็นเทวดาและได้ลักลอบดื่มน้ำอมฤต ครั้นเมื่อพระวิษณุได้ฟังความทรงกริ้วมาก จึงได้ขว้างจักรออกไปถูกพระราหูจนร่างกายได้ขาดเป็นสองท่อน แต่บังเอิญว่าน้ำอมฤตได้ตกลงไปถึงท้องพอดี เลยทำให้พระราหูไม่ตายและยังมีฤทธิ์สูงมากเท่าเทียมกับเหล่าเทวดาทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พระราหูเหลือเพียงแค่ท่อนหัวเท่านั้น แต่ก็ยังสามารถล่องลอยไปมาอยู่ในชั้นสรวงสวรรค์ได้ แล้วยังคอยจ้องจับพระอาทิตย์และพระจันทร์กิน เพื่อเป็นการแก้แค้นให้แก่ตนเอง ส่วนที่เป็นท่องล่างหรือท่องตัวของพระราหูนั้น ได้ขาดหายออกไปจนกลายเป็นพระเกตุ เป็นเทวะแห่งนพเคราะห์องค์ที่ 9 ซึ่งได้มีรูปลักษณ์เป็นผีพุ่งใต้หรือดาวหาง
พระยม : เทพแห่งความเที่ยงธรรมและความตาย
• เดิมทีนั้น พระยมผู้เป็นเจ้าแห่งนครไวศาลี ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ซึ่งมีความเก่งกาจสามารถในด้านการรบเป็นอย่างมาก แต่ภายหลังได้เกิดล้มป่วยจวบจนใกล้จะสิ้นชีวิต พระยมจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานเพื่อต้องการจะขอไปเกิดเป็นเจ้าแห่งนรก เพราะมีความปรารถนาที่จะไปทำการควบคุมดูแลพวกคนชั่ว ซึ่งคิดว่าจะได้เปรียบเสมือนเป็นการได้ไถ่บาปที่ตนเองเคยได้ทำการรบราฆ่าฟัน ทำให้ผู้คนมามากมายต้องจบสิ้นชีวิต ถึงแม้ว่าผู้คนเหลานั้นจะเป็นศัตรูก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่ได้สิ้นชีพไปแล้ว พระยมก็ได้สมความปรารถนา เพราะได้ไปเกิดเป็นท้าวมัจจุราช ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเจ้าแห่งความตาย แล้วยังได้เป็นเจ้าแห่งนรกภูมิ หรือ ยมโลก นั่นเอง
• พระยมหรือท้าวมัจจุราช มีเครื่องฉลองพระองค์เป็นสีแดง ส่วนพระวรกายนั้นจะเปล่งประกายมีรัศมีเป็นสีแดง ซึ่งทำให้ดูแล้วน่าเกรงขาม ทางด้านพระหัตถ์ซ้ายจะถือบ่วงยมบาศ และพระหัตถ์ขวาจะถือไม้ท้าวยมทัณฑ์
พระกามเทพ : เทพแห่งความรัก
• เมื่อครั้งที่พระสตีเทวี ผู้เป็นมเหสีของพระอิศวรสิ้นพระชนม์ชีพไปแล้ว ฝ่ายพระอิศวรก็ทรงเสียพระทัยเป็นอย่างมาก จนต้องเสด็จไปเข้าฌาน เพื่อต้องการประพฤติพระองค์เป็นสันยาสีแต่เพียงลำพังเท่านั้น เมื่อเวลาได้ผ่านไป พระสตีเทวีก็ได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง เป็นบุตรีของท้าวหิมาลัย มีพระนามว่า พระนางอุมาเทวี เหล่าบรรดาเทวดาทั้งหลายต่างมีความหวังต้องการที่จะให้พระนางอุมาเทวีได้เข้ามาเป็นพระมเหสีของพระอิศวร เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วจึงได้มอบหมายให้กามเทพ รับเป็นผู้ไปปฏิบัติหน้าที่นี้ ทางฝ่ายกามเทพเองก็ได้วานให้วสันต์ ผู้เป็นสหาย ได้จัดการเนรมิตดอกไม้ชนิดต่างๆ ที่มีความสวยสดงดงามผลิบานกันอย่างเต็มต้น จากนั้นจึงได้ทำการเชิญพระนางอุมาเทวีไปคอย และในช่วงนั้นเอง พระกามเทพจึงได้ยิงพระอิศวรด้วยพระปุษปศร (ศรที่ทำมาจากดอกไม้) เมื่อพระอิศวรถูกศร ก็เบิกพระเนตรที่ 3 ขึ้นมา ทันใดนั้นเองก็ได้บันดาลให้เกิดเพลิงไหม้เผาผลาญกามเทพสูญสิ้นไป หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อพระอิศวรได้คลายความพิโรธหมดไปแล้ว จึงได้โปรกให้พระกามเทพได้เกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง โดยให้เป็นพระประทยุมน์และเป็นพระโอรสของพระกฤษณะ (อวตารที่ 8 ของพระนารายณ์) กับนางรุกมิณี

ตำนานเทพเจ้ากระต่าย



ในบันทึกเยียนจิง (燕京 เป็นชื่อเรียกปักกิ่งในอดีต) ระบุไว้ว่า ในอดีต“เมื่อถึงวันไหว้พระจันทร์ (中秋节) ชาวเมืองจะนำดินเหลืองมาปั้นเป็นรูปกระต่ายออกจำหน่าย โดยเรียกกระต่ายเหล่านี้ว่า “เทพเจ้ากระต่าย” เนื่องจากจีนมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับกระต่ายหยกบนวังจันทรา ดังนั้นคนสมัยก่อนจึงเชื่อว่าเวลาไหว้พระจันทร์ก็ต้องถวายเทพเจ้ากระต่ายนั่นเอง"

ยังมีอีกตำนานเล่าขานเกี่ยวกับความผูกพันระหว่างเมืองปักกิ่งกับกระต่ายเทพ ว่ากันว่ามีอยู่ปีหนึ่งในเมืองปักกิ่งบังเกิดโรคอหิวาตกโรคระบาดหนัก เกือบทุกบ้านมีผู้ติดเชื้อ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย เมื่อเทพธิดาฉางเอ๋อซึ่งอยู่บนดวงจันทร์ได้มองลงมาเห็นภัยพิบัติบนโลกมนุษย์ ก็ให้รู้สึกทุกข์ใจยิ่ง จึงได้ส่งกระต่ายหยกข้างกายที่ปกติตำยาอยู่บนดวงจันทร์ลงมารักษาโรคชาวบ้าน

กระต่ายหยกแปลงกายเป็นหญิงสาวไปรักษาผู้คนหายจากโรค ชาวบ้านรู้สึกซาบซึ้งใจในความช่วยเหลือ จึงได้ตอบแทนด้วยการให้สิ่งของ แต่กระต่ายหยกไม่ยอมรับสิ่งใดเลย แค่ขอยืมชุดชาวบ้านใส่ ไปถึงไหนก็จะเปลี่ยนชุดไปเรื่อย บางทีก็เห็นแต่งกายเป็นคนขายน้ำมัน บ้างก็เป็นหมอดูดวง บ้างแต่งกายเป็นชาย บ้างแต่งเป็นหญิง และเพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากขึ้น กระต่ายหยกจะขี่ม้าบ้าง กวางบ้าง สิงโตบ้าง หลังจากกำจัดโรคภัยให้ชาวเมืองเสร็จเรียบร้อย กระต่ายหยกก็กลับขึ้นไปยังวังจันทรา นับแต่นั้นมาชาวบ้านจึงได้กราบไหว้บูชาเทพเจ้ากระต่าย

หลังจากผ่านกาลเวลาหลายสมัย ด้วยความกล้าของศิลปินจีนจึงได้พัฒนารูปลักษณ์ของเทพเจ้ากระต่ายให้มีเอกลักษณ์มากขึ
้น โดยช่างจะปั้นให้กระต่ายเทพมีเศียรเป็นกระต่ายร่างกายเป็นคน มือถือสากหยกตำยา ประทับอยู่บนสัตว์พาหนะ ที่เห็นบ่อยๆ ก็คือเสือ

ส่วนต้นกำเนิดความเชื่อของเทพเจ้ากระต่ายมีขึ้นในสมัยใดนั้น ยังเป็นที่ถกเถียง แต่ที่แน่ๆ คือในสมัยราชวงศ์หมิงชาวบ้านก็เริ่มนิยมนำเทพเจ้ากระต่ายมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้พระจั
นทร์แล้ว จวบจนในสมัยราชวงศ์ชิงบทบาทของเทพเจ้ากระต่ายเริ่มเปลี่ยนแปลงกลายมาเป็นของเล่นเด็ก
ในวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ เพราะสมัยก่อนหากคิดจะกล่อมให้เด็กเชื่อฟัง พ่อแม่ก็มักจะเอาเรื่องเล่าของเทพเจ้ามาหลอมรวมกัน ดังนั้นเทพเจ้ากระต่ายจึงนับเป็นของเล่นเก่าแก่ของเมืองหลวงจีนและยังเป็นงานศิลปะที
่สะท้อนชีวิตชาวปักกิ่งในวารวันด้วย ปัจจุบันใครได้ไปปักกิ่งคงยังเห็นเทพเจ้ากระต่ายในบางร้าน แต่ก็ไม่พรั่งพรูเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ตำนานกำเนิดกระต่ายหยก
ตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระจันทร์นั้นมีมากมายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอู๋กัง ผู้ฝักใฝ่อยากเป็นเซียนจนไม่ศึกษาเล่าเรียน ถูกเง็กเซียนฮ่องเต้ลงโทษให้ตัดต้นไม้อยู่บนดวงจันทร์ แต่ทุกครั้งที่ลงขวานรอยแยกของต้นไม้จะประสานกันเหมือนเดิม จึงทำให้อู๋กังไม่สามารถตัดต้นไม้ได้เสียที และเป็นอยู่เช่นนี้ตลอดมา หรือจะเป็นตำนานฉางเอ๋อขโมยยาวิเศษโฮ่วอี้ ผู้เป็นสามี ลอยขึ้นมาสถิตอยู่ที่บนดวงจันทร์

รวมไปถึงตำนานกระต่ายหยกบนวังจันทราซึ่งมีเรื่องเล่าหลายเวอร์ชั่น บางตำราเล่าว่า ในมาแล้วเทพบนสวรรค์ 3 องค์ได้ลงมายังโลกมนุษย์และแปลงกายเป็นคนแก่น่าสงสาร 3 คน ไปขออาหารกับ จิ้งจอก ลิง และกระต่าย ทั้งจิ้งจอกและลิงนั้นต่างมีของกินสามารถช่วยเหลือแบ่งปันให้ผู้เฒ่าได้ มีเพียงแต่กระต่ายน้อยเท่านั้นที่ไม่มีหนทางช่วย กระต่ายน้อยจึงพูดขึ้นว่า “พวกท่านกินเนื้อของฉันเถอะ” ว่าแล้วก็กระโดดเข้าสู่กองไฟ เทวดาซาบซึ้งในน้ำใจของกระต่าย จึงได้ส่งกระต่ายขึ้นมาอยู่ที่วังจันทรากับเทพธิดาฉางเอ๋อนับแต่นั้น

ตำนานกระต่ายบนดวงจันทร์(ญี่ปุ่น)



ครั้งหนึ่ง ชายชราบนดวงจันทร์ได้มองลงมาที่ป่าใหญ่บนโลกมนุษย์ 
เขาเห็นกระต่าย ลิง และ สุนัขจิ้งจอก 
ทั้งสามอาศัยอยู่ด้วยกันที่นั่น และต่างเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

ชายชราอยากรู้ว่าสัตว์ตัวไหนใจดีที่สุดจึงแปลงตัวเป็นขอทาน
แล้วลงจากดวงจันทร์ไปยังป่าที่สัตว์ทั้งสามอาศัยอยู่นั้น

" โปรดช่วยผมด้วย ผมหิว หิวเหลือเกิน" เขาพูดกับสัตว์ทั้งสาม
สัตว์ทั้งสามรู้สึกสงสาร ต่างแยกกันไปหาอาหารมาให้ขอทาน

ลิงนำผลไม้มาจำนวนมาก สุนัขจิ้งจอกจับได้ปลาตัวใหญ่ 
แต่กระต่ายไม่สามารถหาสิ่งใดมาได้เลย
กระต่ายร้องคร่ำครวญ แต่แล้วก็ได้ความคิดขึ้นมา


" ได้โปรดเถอะ คุณลิง ช่วยกรุณานำไม้ฟืนมาให้ฉันหน่อย 
ส่วนคุณสุนัขจิ้งจอก ขอได้โปรดนำไม้ฟืนกองนั้นก่อไฟกองใหญ่ให้ฉันด้วย"

สัตว์ทั้งสองทำตามคำขอของกระต่าย
เมื่อไฟลุกไหม้สว่างดีแล้ว กระต่ายก็พูดกับขอทานว่า
" ผมไม่มีสิ่งใดจะให้คุณ ดังนั้นผมจะโยนตัวเองลงไปในกองไฟนี้ 
จากนั้นเมื่อผมถูกไฟเผาจนสุกดีแล้ว ขอให้คุณกินเนื้อของผมแทนก็แล้วกัน"

กระต่ายเตรียมพร้อมที่จะกระโจนลงไปในกองไฟและย่างตัวเอง 
แต่ทันใดนั้นขอทานก็เปลี่ยนร่างเป็นชายชราบนดวงจันทร์ตามเดิม

" เธอเป็นสัตว์ที่ใจดีมาก เจ้ากระต่าย 
แต่เธอไม่ควรทำสิ่งใดที่เป็นการทำร้ายตัวของเธอเอง
เนื่องจากเธอเป็นสัตว์ที่ใจดีที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้งหมด 
ฉันจึงขอนำเธอกลับขึ้นไปอยู่กับฉัน"

จากนั้น ชายชราบนดวงจันทร์ก็อุ้มกระต่ายนำไปที่ดวงจันทร์ 
ถ้าเรามองดูดวงจันทร์ให้ดีๆ ตอนที่ดวงจันทร์ส่องแสงนวลแจ่มจรัสนั้น
เราจะเห็นกระต่ายอยู่บนนั้น ซึ่งชายชราเป็นผู้นำไปไว้เมื่อนานมาแล้ว

และนี่ก็เป็นตำนานที่มาของกระต่ายบนดวงจันทร์ของญี่ปุ่น

ตำนานกระต่ายบนดวงจันทร์




มีอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าในแอฟริกา ทิเบต เม็กซิโก จีน  ญี่ปุ่น ฯลฯ แต่ทว่าแพร่หลายที่สุดในซีกโลกตะวันออก สันนิษฐานว่าตำนานกระต่ายในดวงจันทร์น่าจะมีต้นกำเนิดในประเทศอินเดีย ตามตำนานอินเดีย เชื่อกันว่าภาพที่เห็นบนผิวดวงจันทร์คือ เทพแห่งดวงจันทร์ ชื่อจันทรา ผู้ซึ่งถือกระต่ายไว้ในมือ เนื่องจากคำว่ากระต่ายในภาษาสันสกฤต คือ ศศะ ดังนั้นจึงเรียกดวงจันทร์ว่า ศศิน แปลว่า ซึ่งมีกระต่าย ส่วนตำนานจีนเล่าว่า ภาพที่ปรากฏบนดวงจันทร์ คือกระต่ายกำลังตำข้าวในครก กระต่ายตัวนี้เชื่อกันว่าเป็นผู้รับใช้เซียนหรือผู้วิเศษ  โดยมีหน้าที่ปรุงยาอายุวัฒนะ
 ในนิทานแฝงคติธรรมทางพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับกระต่ายบนดวงจันทร์ เล่าว่า ครั้งหนึ่งมีกระต่าย ลิง นาก และสุนัขจิ้งจอก สาบานร่วมกันว่าจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และบำเพ็ญตนเป็นฤๅษีอยู่ในป่า พระอินทร์อยากทดสอบในศรัทธาของสัตว์ทั้งสี่  จึงปลอมตัวเป็นพราหมณ์เที่ยวขอบริจาคทาน โดยไปขอจากลิงเป็นตัวแรก ลิงมอบมะม่วงให้ จากนั้นพราหมณ์ก็ไปขอทานจากนาก นากถวายปลาซึ่งมาตายเกยตื้นอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ส่วนสุนัขจิ้งจอกก็ถวายนมหม้อหนึ่งและผลไม้แห้ง

 เมื่อพราหมณ์เข้าไปขอบริจาคทานจากกระต่าย กระต่ายพูfกับพราหมณ์ว่า “ข้ากินแต่หญ้าเป็นอาหาร หญ้าก็ไม่มีประโยชน์ใด ๆ กับท่านเลย”  พราหมณ์จึงเอ่ยขึ้นว่า ถ้ากระต่ายบำเพ็ญพรตเป็นฤๅษีที่แท้จริงแล้ว ขอให้สละชีวิตของตนเพื่อเป็นอาหารแก่พราหมณ์ กระต่ายตอบตกลงทันทีและทำตามที่พราหมณ์ขอร้องว่าให้กระโดดเข้ากองไฟเอง พราหมณ์จะได้ไม่ต้องลงมือฆ่าและปรุงกระต่ายเป็นอาหาร กระต่ายปีนขึ้นยืนบนก้อนหินและกระโดดเข้ากองไฟ ในขณะที่ร่างกระต่ายกำลังจะตกสู่เปลวเพลิงนั้น พราหมณ์ได้คว้าตัวกระต่ายไว้ แล้วเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงว่าคือใคร  พระอินทร์นำกระต่ายไปไว้บนดวงจันทร์เพื่อให้สิ่งมีชีวิตทั้งมวลในโลกได้เห็นกระต่าย และรับรู้ว่ากระต่ายคือตัวอย่างแห่งการเสียสละตนอันยิ่งใหญ่

นิทานแฝงคติธรรมทำนองนี้ยังมีเนื้อเรื่องที่ต่างกันไปบ้างเล็กน้อย บางเรื่องก็ว่า ขณะที่พระพุทธเจ้าออกแสวงหาสัจธรรมได้หลงทางไปกลางป่า และมาพบกระต่ายเข้า กระต่ายถวายตัวเป็นอาหารแด่พระพุทธเจ้าโดยกระโดดเข้ากองไฟ แต่พระพุทธเจ้าได้แสดงบุญญาภินิหารช่วยชีวิตกระต่ายขึ้นจากไฟ และนำกระต่ายไปไว้บนดวงจันทร์ อีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าในร่างของกระต่าย ยินยอมพลีร่างเป็นอาหารแก่สัตว์ที่กำลังอดอยากหิวโหย อีกเรื่องหนึ่งว่า ทรงสละตัวเองแก่พระอินทร์ พระอินทร์จึงได้วาดรูปกระต่ายลงบนดวงจันทร์เพื่อเป็นเครื่องรำลึกชั่วนิรันดร์

 สำหรับในหมู่ชาวฮอตเทนทอต ชาวพื้นเมืองเร่ร่อนล่าสัตว์ ทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ตำนานกระต่ายบนดวงจันทร์ช่วยอธิบายโรคปากแหว่ง (harelip) ตั้งแต่เกิตของคนเรา ตามตำนานพระจันทร์ส่งกระต่ายลงมายังโลกเพื่อบอกกับมนุษย์ว่าเมื่อเธอตายจะกลับฟื้นขึ้นอีกครั้ง และมนุษย์ก็เช่นกัน แต่กระต่ายไม่ใส่ใจจึงจำข้อความผิด ๆ ถูก ๆ ไปบอกมนุษย์ว่า พระจันทร์ตายแล้ว จะไม่ฟื้นคืนมาใหม่ และมนุษย์ก็จะเป็นเช่นเดียวกับเธอ เมื่อพระจันทร์ทราบว่ากระต่ายทำอะไรลงไป เธอโกรธมากและพยายามจะใช้ขวานจามหัวกระต่าย แต่พลาดไปโดนริมฝีปากบนของกระต่ายแทน เจ้ากระต่ายบาดเจ็บก็ตอบแทนเธอด้วยการข่วนเข้าที่ใบหน้าด้วยอุ้งเล็บของมัน ทำให้เกิดรอยปื้นดำปรากฏบนดวงจันทร์ดังที่เห็นกันทุกวันนี้

ตำนานความรักของดวงจันร์



นานมาแล้ว..สมัยที่โลกยังมีพระจันทร์ 2 ดวง
มีดวงจันทร์ดวงหนึ่งเป็นผู้หญิง

..กับอีกดวงหนึ่งเป็นผู้ชาย
และดวงจันทร์ทั้งสองดวงนี้ ต่างก็รักกันมาก

ดวงจันทร์ทั้งสองไม่เคยแยกห่างจากกัน…

...ทุกๆ คืนเมื่อมองไปบนฟ้า

จะเห็นดวงจันทร์ทั้งคู่ อยู่เคียงข้างกันเสมอ..

แต่แล้ววันหนึ่ง ....

ดวงจันทร์ผู้หญิงได้ไปพบกับดวงอาทิตย์

ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงหลงใหลในแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์
จนเลื่อนตัวตามดวงอาทิตย์ไป
ทีละน้อย ทีละน้อย ..........

....และก็แยกมาจากดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งในที่สุด...

เมื่อค่ำคืนมาถึง..

จึงมีดวงจันทร์ผู้ชายเหลืออยู่ เพียงดวงเดียว ...

ส่วนดวงจันทร์ผู้ชายก็ได้แต่ตามหา ดวงจันทร์ผู้หญิงไปทุกหนทุกแห่ง ....

คืนแล้วคืนเล่า วันเวลาล่วงผ่านไป

แต่ดวงจันทร์ผู้ชายก็ไม่สามารถหาดวงจันทร์ผู้หญิงได้พบ.. .....

ด้วยความคิดถึง และอยากพบดวงจันทร์ผู้หญิงให้เร็วที่สุด

ทำให้ดวงจันทร์ผู้ชายคิดว่า

"หากเรามัวแต่ตามหาอยู่อย่างนี้ คงไม่ได้เจอแน่ๆ"

จึงตัดสินใจ.. ระเบิดตัวเอง เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไปทั่วทั้งจักรวาล

เพื่อให้ชิ้นส่วนแต่ละชิ้น ออกตามหาดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งนั้น...




..... เมื่อเวลาผ่านไป

ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิง ได้เห็นถึงความจริงว่า..

แม้ดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้า สวยงามสักปานใด

แต่ดวงอาทิตย์ก็มิได้ส่องแสงเจิดจ้า แต่เพียงเธอเท่านั้น

ยังส่องแสงไปยังดาวดวงอื่นๆ อีกมากมาย

ดวงจันทร์ผู้หญิงจึงกลับมาหาดวงจันทร์ผู้ชายอีกครั้ง...

.... แต่หาเท่าไรก็หาดวงจันทร์ผู้ชายไม่พบ

ต่อมาจึงได้รู้ว่า ดวงจันทร์ผู้ชายยอมระเบิดตัวเอง

เพียงเพื่อตามหาตน

จนกระจัดกระจายเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ

ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงรู้ว่าไม่มีวันที่จะได้เจอ

กับดวงจันทร์ผู้ชายอีกต่อไปแล้ว

จึงได้แต่โศกเศร้า และเสียใจ ....

แต่ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ที่ดวงจันทร์ผู้ชาย มีต่อดวงจันทร์ผู้หญิง

ทุกค่ำคืนจึงพยายามเปล่งประกายแสง

ที่ยังเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของตน ส่งให้ถึงดวงจันทร์ผู้หญิง

เกิดเป็นแสงพร่างพรายเต็มท้องฟ้า เคียงข้างดวงจันทร์

จนเกิดเป็นดวงจันทร์และดวงดาว ให้เราเห็นจนถึงทุกวันนี้ ... 

ตำนานเขาสามมุก



เมืองชลบุรีสมัยอดีตโบราณนานมาแล้วนั้นยังไม่มีเขาสามมุกและชายหาดริมทะเลนั้นก็ยังมิได้ขนานนามว่า หาดบางแสน

                          ชายทะเลบางแสนนั้นในสมัยอดีตกาลเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง
                          ภายในหมู่บ้านนี้ก็จะมีครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยมั่งคั่ง และเป็นผู้นำของแห่งหนตำบลนั้น ซึ่งหัวหน้าครอบครัวนี้ก็คือกำนันบ่าย ซึ่งเป็นกำนันที่ลูกบ้านพากันเคารพนับถือเป็นอย่างดีเสมอมา
                          กำนันบ่ายเป็นพ่อม่ายมีลูกชายอยู่คนเดียวมีชื่อว่า แสน
                          ลูกชายของกำนันบ่ายยังอยู่ในวัยรุ่นหนุ่มรูปร่างหน้าตาดีเป็นที่หมายปองของบรรดาสาวๆในหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้น แต่ทว่าไม่มีสาวใดที่หนุ่มแสนจะถูกตาต้องใจแม้แต่น้อย
                          นอกจากจะออกทะเลดังเช่นเด็กหนุ่มทั่วไปในหมู่บ้านนั้นแล้ว ยามว่างหนุ่มแสนก็ชอบที่จะทำว่าวแล้วไปเล่นว่าวที่บริเวณชายหาดตามลำพังเสมอๆ
                          ในวันหนึ่ง หนุ่มแสนได้ไปเล่นว่าวที่ชายหาดเหมือนอย่างเคย แต่ปรากฎว่าบ่ายวันนั้นลมแรงจัดได้พัดเอาว่าวปักเป้าของหนุ่มแสนขาดลอยหายไป
                          หนุ่มแสนได้พยายามปีนป่ายตามโขดหิน ริมทะเลขึ้นไปบนหน้าผาก็ได้พบว่ามีสาวน้อยคนหนึ่งได้เก็บว่าวของตนเองไว้
                          สาวน้อยคนนั้นมีชื่อว่า สามมุก เป็นหลานสาวของยายเฒ่าที่ปลูกกระท่อมหลังน้อยๆ อยู่บนหน้าผาริมทะเลนั่นเอง
                          หนุ่มแสนความจริงก็ได้ยินมานานแล้วว่ายายเฒ่าที่อยู่บนหน้าผามีหลานสาวคนหนึ่งมาจากเมืองปลาสร้อยมาพำนักอาศัยอยู่ด้วยเป็นสาวน้อยที่หน้าตาสะสวยเป็นยิ่งนัก บรรดาหนุ่มๆ ในหมู่บ้านต่างก็พูดถึงสามมุกกันมานานแล้ว ด้วยความหลงใหลและหมายปอง
                          เมื่อหนุ่มแสนได้เจอกับสามมุกในบ่ายวันนั้น ก็รู้สึกถูกตาต้องใจในความงามของสาวน้อยที่ชื่อว่าสามมุกนี้เช่นกัน

                          สามมุกกับหนุ่มแสนก็ได้ทักทายและพูดคุยกันพอสมควรจากนั้นจึงได้มีการนัดพบกันเสมอๆ และได้สนิทสนมกันมากขึ้น จนในที่สุดทั้งคู่ก็รู้ตัวว่ามีความรักใคร่ในกันและกันเข้าแล้ว
                          ทุกครั้งที่มานัดพบกันบนหน้าผาแห่งนั้น ทั้งคู่ได้ใช้เวลาด้วยกันอย่างแสนหวานจนกระทั่งวันหนึ่งแสนและสามมุกก็ได้ในสัญญารักต่อกันว่า ทั้งคู่จะยึดมั่นในความรักไม่มีวันเปลี่ยนแปลงหากไม่สามารถได้สมรักก็จะสังเวยชีวิตด้วยกัน ณ ที่หน้าผาอันเป็นที่พบกันครั้งแรกแห่งนี้
                          เมื่อได้ให้สัญญาต่อกันแล้วแสนก็ถอดแหวนที่นิ้วของตนสวมให้แก่สามมุก เพื่อเป็นเครื่องยืนยันความรักที่มีต่อกัน
                          ไม่ช้าไม่นานนัก ความสัมพันธ์ของแสนกับสามมุกก็ไม่สามารถเก็บไว้เป็นความลับได้ กำนันบ่ายผู้เป็นพ่อของหนุ่มแสนล่วงรู้เข้าก็โกรธเคืองลูกชายเป็นยิ่งนัก
                          เนื่องจากกำนันบ่ายได้พยายามไปทาบทามลูกสาวของพ่อค้าผู้มั่งคั่งในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงกันนั้นไว้แล้ว เพราะอยากให้ลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝาได้แต่งงานมีลูกมีหลานโดยเฉพาะจะต้องได้เจ้าสาวที่มีฐานะร่ำรวยเหมาะสมกับตนอีกด้วย
                          แต่สำหรับสามมุกนั้นกำนันบ่ายเห็นว่าเป็นเพียงหลานสาวของยายเฒ่าที่ปลูกระท่อมเล็กๆ พักอาศัยอยู่บนหน้าผามีอาชีพเก็บของในป่าขายเท่านั้น ไม่ใช่คนที่ถือว่าคู่ควรกันเลยแม้แต่น้อย

                          กำนันบ่ายได้เรียกแสนผู้เป็นลูกชายเข้าไปหาและได้สั่งกำชับกำชาว่าห้ามมิให้คบกับสามมุกอีกต่อไปถ้าขัดคำสั่งก็จะตัดลูกตัดพ่อกันเลยที่เดียว
                          นับจากวันนั้นแสนจึงมิได้ขึ้นไปที่หน้าผาเพื่อพบกับสามมุกหญิงผู้เป็นที่รักอีกเลย
                          สามมุกได้แต่เฝ้ารอคอยอยู่บนหน้าผาทุกๆวัน และในที่สุดเธอก็ได้ข่าวว่ากำนันบ่ายได้สู่ขอลูกสาวของพ่อค้าที่มีฐานะดีให้เป็นเจ้าสาวของแสนและจะมีพิธีวิวาห์ในเร็ววันนี้
                          สามมุกได้แต่โศกเศร้าเสียใจน้ำตารินไหลอยู่ที่หน้าผาทุกย่ำเย็นด้วยคิดว่าคนรักได้ลืมสิ้นกับคำสัญญาและหมดรักในตัวเธอแล้ว
                          ฝ่ายแสนนั้นก็ได้แต่ทุกข์ทรมานใจ แต่ยังมิรู้ว่าจะหาทางออกทางใดได้ เพราะในใจเขานั้นมีแต่สามมุกเท่านั้นไม่ได้คิดที่จะเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
                          ครั้นเมื่อวันวิวาห์มาถึง ขณะที่แสนกำลังนั่งเคียงข้างอยู่กับเจ้าสาวเพื่อรอรับน้ำสังข์จากแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมอวยพรนั้น
                          จู่ๆเมฆฝนก็พัดสะลิ่วปลิวว่อนเต็มท้องฟ้าจนมืดครึ้มอึมครึมไปหมด พายุพัดอื้ออึงราวกับจะมีพายุฝนพัดกระหน่ำมาในไม่ช้านั้น
                          ในใจแสนคิดถึงแต่สามมุก และกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดีที่จะหลีกหนีไปให้พ้นจากงานวิวาห์ได้
                          ขณะที่เขานั่งก้มหน้าพนมมือรอรับน้ำสังข์เคียงข้างกับเจ้าสาวนั้นเองเขาก็ได้เห็นมือคู่หนึ่งหยิบน้ำสังข์มารินอวยพรให้กับเขา แต่ทว่าสายน้ำที่รินหลั่งลงมาจากสังข์สู่มือเขานั้น ปรากฎว่ามีแหวนวงหนึ่ง ไหลออกมากับสายน้ำนั้นด้วย
                          แหวนวงนั้นตกต้องลงบนมือทำให้เขาต้องรีบเงยหน้าขึ้นทันที
                          แต่ทวาสาวน้อยผู้เป็นคนรดน้ำสังข์ให้เขานั้นได้วิ่งออกไปจากงานแต่งงานในทันทีทันใด
                          หนุ่มแสนไม่รอช้ารีบผละลุกขึ้นจากตั่งรดน้ำสังข์วิ่งพรวดออกไปจากงานพิธีวิวาห์ของตนทันที
                          แม้จะเอ่ยปากตะโกนร้องเรียกสามมุกอย่างไรแต่สามมุกคนรักของเขาก็ยังมิมีทีท่าว่าจะหยุด
                          เธอวิ่งอย่างสุดแรงเกิดวิ่งหนีขึ้นไปบนหน้าผา
                          หนุ่มแสนวิ่งตามไปเรื่อยๆท่ามกลางสายฝนที่พรั่งพรูลงมาอย่างหนัก

                          ครั้นพอขึ้นไปถึงหน้าผาอันเป็นจุดนัดพบเมื่อครั้งที่รักยังหวานชื่นนั้นสามมุกก็กระโดดพุ่งตัวลงมาจากหน้าผาสังเวยชีวิตสมกับที่เคยได้ให้คำมั่นสัญญากันไว้ในวันวานต่อหน้าต่อตาหนุ่มแสนนั้นเอง
                          ลมพายุพัดอื้ออึงสายฟ้าแลบแปลบปลาบ   เสียงฟ้าร้องคำรามโครมครือน่ากลัวแสนยืนหยุดนิ่งแสนยืนหยุดนิ่งเหมือนไร้ชีวิตอยู่บนหน้าผาแห่งนั้นมองลงไปที่ท้องทะเลเบื้องล่างเห็นคลื่นครางครวญปั่นป่วนราวกับทะเลกำลังบ้าคลั่ง
                          ในไม่ช้าไม่นานนัก หนุ่มแสนก็กระโจนพุ่งตัวลงจากหน้าผาตามสาวคนรักของตนไปเหมือนจะยืนยันในคำมั่นสัญญาที่ตนเองก็ได้เคยให้ไว้กับคนรักว่าจะอุทิศชิวิตสังเวยแด่ความรักที่ไม่สมหวังเช่นกัน
                          เมื่อกำนันบ่ายและแขกเหรื่อที่มาในงานพิธีพากันวิ่งตามมาดูบนหน้าผาและได้พบกับโศกนาฏกรรมอันแสนสะเทือนใจเช่นนั้น ทุกคนก็ถึงกับอึ้งโดยเฉพาะกำนันบ่ายถึงกับหลั่งน้ำเสียใจที่ตนเองเสียใจที่ตนเองเสมือนกับเป็นคนที่ฆ่าลูกเพราะขัดขวางในความรักของลูก จนลูกต้องหาทางออกด้วยการสังเวยชีวิตเช่นนั้น
                          กำนันบ่ายจึงได้ตั้งชื่อหน้าผาของหมู่บ้านชาวประมงนั้นว่า "สามมุก" และบริเวณหาดทรายริมทะเลเบื้องล่างหน้าผานั้นก็ได้รับการตั้งชื่อว่า "บางแสน" เพื่อให้ทั้งสองได้อยู่คู่เคียงกันไปชั่วกาลนาน

                        ทั้งเขาสามมุกและหาดบางแสนล้วนแต่เป็นอนุสรณ์สถานที่ระลึกแห่งความรักของคู่รักผู้ที่ยึดมั่นในสัญญาเมื่อครั้งอดีตกาลนั่นเอง  

ตำนานคิวปิด

เรื่องเริ่มต้นที่ว่าไซคีนั้นเป็นหญิงสาวที่งดงามเทียมทัดเทพวีนัส จนพระนางเกิดความริษยา จึงสั่งให้คิวปิดบุตรของพระนาง ไปแผลงศรรักแก่ไซคีให้ตกหลุมรักกับคนที่น่าตาอัปลักษณ์ที่สุด หากแต่หารู้ไม่ว่าคิวปิดนี่แท้คือคนที่จะเป็นฝ่ายตกหลุมรัก ทางฝ่ายไซคีนั้น แม้จะเป็นหญิงงามควรเมืองชายทั่วสารทิศดั้นด้นเดินทางมาเชยชม แต่ก็หามีผู้ใดแต่งกับนางไม่ พี่สาวทั้งสองก็ออกเรือนไปก่อนแล้ว จนพระบิดาเป็นห่วง จึงไปขอความช่วยเหลือที่เทวสถานเดลฟี่ คำทำนายของเทพอพอลโลกล่าวว่า มีทางเดียวที่นางนั้นจะได้พบคู่ครองของนางคือ จะต้องออกจากบ้านเมืองแต่งกายเยี่ยงผู้ที่ไว้ทุกข์

นำเธอไปไว้ที่ริมผาเพียงลำพัง แลสัตว์อสูรอัปลักษณ์ที่ทรงพลังที่แม้แต่องค์เทพก็มีอาจทัดทาน จะมารับเธอไปเป็นภรรยาเมื่อพระบิดาได้ทราบดังนี้ก็ยังมาซึ่งความโศกเศร้าเสียใจแต่ก็ไม่มีผู้ใดฝ่าฝืนคำทำนายได้ จึงตระเตรียมตามที่คำทำนายกล่าว ผู้คนทั้งราชวังต่างตกอยู่ในความโศกเศร้าไซคีนั้นแต่งกายไว้ทุกข์นั่งอยู่ริมผาอย่างโดดเดี่ยว จนในที่สุดเทพแห่งลม Zephyr ก็มารับไซคี 
ลมหอบไซคีขึ้นไปสู่ปราสาท ที่แห่งนี้มีแต่ความมืด นางได้ยินเสียงของคนดังขึ้นซึ่งรู้ว่านั่นจะต้องเป็นเสียงสามีของนาง เสียงนั้นกล่าวว่านางจะได้อยู่ที่นี่อย่างมีความสุข ขอเพียงอย่างเดียว 
จงอย่าพยายามที่จะหาตัวจริงของเสียงนี้ นางก็ตกลง และนางก็อยู่ดีมีความสุขเรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่งพี่สาวของนางร่ำไห้เรียกร้องหานาง ไซคีเองก็มิอาจห้ามความคิดถึงพี่ทั้งสองได้

แต่เสียงสามีของนางได้เตือนนางแล้วว่าจงอย่าพบกับพี่สาว เพราะทั้งสองคนจะนำความพินาศย่อยยับให้กับชีวิต แต่ด้วยความคิดถึงและผูกพันนางจึงมิอาจทนได้อ้อนวอนว่าจะระวังให้ดีที่สุด เมื่อทั้งสามได้พบกันนั้นก็ร่ำไห้ด้วยความคิดถึง ไซคีพาพี่สาวทั้งสองทานข้าวพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ส่วนพี่ทั้งสองนั้นได้เห็นว่าไซคีได้อยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตก็บังเกิดความริษยาในใจเป่าหูไซคีว่าสามีของนางนั้นที่ไม่ยอมปรากฏตัวเช่นนี้ต้องเป็นปีศาจร้ายแน่ๆ อาจจะรอวันทำร้ายนาง จึงบอกให้นางแอบย่องไปดูตอนกลางคือและฆ่ามันซะ ไซคีเริ่มหวั่นใจแม้ในใจจะไม่อยากทำลายข้อห้ามนั้น แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าหากสามีของนางนั้นไม่ได้เป็นปีศาจจริงแล้ว ก็ไม่น่าจะต้องหลบซ่อนเยี่ยงนี้ ดึกคืนนั้นเองนางจึงจุดตะเกียงและเตรียมมีดหมายจะปลิดชีพหากสามีของนางนั้นเป็นสัตว์ร้าย.......
แต่เมื่อเปิดผ้าออก นางก็ต้องตะลึงกับรูปโฉมงามของชายหนุ่มข้างหน้า ด้วยความตื่นตระหนก นางได้ทำน้ำมันตะเกียงหยดใส่คิวปิด
คิวปิดรู้ตัวและรู้แล้วว่านางได้ทำผิดสัญญาและรีบบินจากไปอย่างรวดเร็วเมื่อนางได้เห็นเช่นนี้แล้ว จึงตระหนักแล้วว่าสามีของนางนั้นหาใช่คนธรรมดาหรือปีศาจร้าย แต่เป็นเทพแห่งความรักนั่นเอง นางรู้สึกผิด แต่ก็ไม่รู้จะไปตามหาคิวปิดได้ที่ไหนท้ายที่สุดจึงต้องบากหน้าไปหาแม่สามี วีนัส
ได้ทีเลยทีนี่ วีนัสกลั่นแกล้งไซคีให้ทำภารกิจสี่อย่าง
1.แยกเมล็ดข้าวก่อนรุ่งสาง
2.เอาขนแกะทองคำจากแกะกินคน
3.นำน้ำจากทะเลดำ
4.นำความงามจากเทพีแห่งโลกบาดาล 

ทุกภารกิจล้วนแล้วแต่ยากลำบากแต่ไซคีก็ผ่านมาได้ตลอดจนกระทั่งภารกิจสุดท้าย ไซคีเปิดกล่องของเทพีแห่งโลกบาดาลจนต้องหลับใหลไปฝั่งคิวปิดนั้นเมื่อเยียวยาแผลที่โดนน้ำมันแล้ว ก็ถูกวีนัสจับขังไว้ แต่หากแม้ประตูปิดกั้น แต่หน้าต่างยังเปิดเสมอ คิวปิดจึงรีบโผบินตามหาไซคีจนเจอในที่สุดทั้งสองก็ได้พบกันคิวปิดไปหาจูปิเตอร์ (ซุส) เพื่อขอให้ทำพิธีแต่งงานให้ จูปิเตอร์กล่าวว่า "แม้เจ้าจะทำให้ข้าตกที่นั่งลำบากมาหลายต่อหลายครั้ง แต่เอาเถอะข้าจะไม่ปฏิเสธ" จูปิเตอร์จึงทำพิธีแต่งงานให้ทั้งสองพร้อมมอบน้ำทิพย์ให้ไซคีดื่ม ทำให้นางมีร่างเป็นนิรันดร์ดุจดั่งทวยเทพ และทั้งสองก็อยู่อย่างมีความสุขสืบแต่นั้นมา





วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตำนานนาค



พญานาค ก็มีตำนาน เล่าขานกันสืบต่อมาว่า

ตำนานความเชื่อเรืองพญานาคมีความเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วย สืบค้นได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เป็นป่าเขาจึงทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองู
เป็นสัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยายและตำนานพื้นบ้าน บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ มีความเชื่อเรื่องพญานาคแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยเรียกชื่อต่างๆ กัน

ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะอยู่ที่อินเดีย ด้วยมีนิยายหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งถือเป็นปรปักษ์ของพญาครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่ และเมื่อไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อเป็นการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี7สี และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช(อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียณสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศรีษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในนำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม

พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น

พญานาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฎเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม

พญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน

พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อนๆ กัน ชั้นสูงๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์

พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร

สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขั้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้นๆ

ตำนานครุฑ



ครุฑ เป็นพญานกที่มีรูปครึ่งมนุษย์ ครึ่งนกอินทรี เป็นเทพพาหนะของพระวิษณุ เป็นโอรสของพระกัศยปมุนี และนางวินตา พระกัศยปมุนีเป็นฤษีที่มีอำนาจมากตนหนึ่ง นอกจากนางวินตาแล้ว ก็ยังมีนางกัทรู ซึ่งเป็นพี่น้องกับนางวินตาเป็นภริยาอีกคน โดยนางกัทรูได้ขอพรจากสามีให้มีลูกจำนวนมาก และต่อมาก็ได้ให้กำเนิดนาคหนึ่งพันตัว อาศัยอยู่ในแดนบาดาล ส่วนนางวินตาขอลูกเพียงสององค์และขอให้ลูกมีอำนาจวาสนา
ต่อมานางได้คลอดลูกออกมาเป็นไข่สองฟอง คือ อรุณ และครุฑ ซึ่งต่อมาอรุณได้ไปเป็นสารถีของสุริยเทพ ส่วนครุฑเมื่อแรกเกิดว่ากันว่า มีร่างกายขยายตัวออกใหญ่โตจนจรดฟ้า ดวงตาเมื่อกระพริบเหมือนฟ้าแลบ เวลาขยับปีกทีใด ขุนเขาก็จะตกใจหนีหายไปพร้อมพระพาย รัศมีที่พวยพุ่งออกจากกายมีลักษณะดั่งไฟไหม้ทั่วสี่ทิศ

ครั้งหนึ่งนางกัทรูและนางวินตาได้พนันกันถึงสีของม้าที่เกิดคราวกวนเกษียรสมุทร โดยว่าใครแพ้ต้องเป็นทาสอีกฝ่ายห้าร้อยปี นางวินตาทายว่าม้าสีขาว แต่นางกัทรูทายว่าสีดำ ซึ่งความจริงม้าเป็นสีขาวดังที่นางวินตาทาย แต่นางกัทรูใช้อุบายให้นาคลูกของตนแปลงเป็นขนสีดำไปแซมอยู่เต็มตัวม้า นางวินตาไม่ทราบในอุบายเลยยอมแพ้ ต้องเป็นทาสและถูกขังอยู่ในแดนบาดาลถึงห้าร้อยปี ทำให้ครุฑและนาคต่างก็ไม่ถูกกันนับแต่นั้น

ครั้นต่อมาครุฑได้ทราบความจริงถึงอุบายของนางกัทรู แต่เพื่อช่วยแม่ให้เป็นอิสระ ครุฑจึงได้ทำความตกลงกับพวกพญานาคที่ต้องการเป็นอมตะว่าจะไปนำน้ำอมฤตที่อยู่กับพระจันทร์มาให้ ครั้นแล้วก็บินไปสวรรค์ คว้าพระจันทร์มาซ่อนไว้ใต้ปีก แต่ถูกพระอินทร์และทวยเทพติดตามมา และเกิดต่อสู้กันขึ้น แต่ทวยเทพทั้งหมดแพ้ครุฑ ยกเว้นพระวิษณุเท่านั้นที่ไม่แพ้ แต่ก็แย่ไปเหมือนกัน ดังนั้นต่างจึงทำความตกลงหย่าศึก โดยพระวิษณุหรือพระนารายณ์สัญญาว่าจะให้ครุฑเป็นอมตะ และให้อยู่ตำแหน่งสูงกว่าพระองค์

ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาว่าขอเป็นพาหนะของพระวิษณุ และเป็นธงครุฑพ่าห์สำหรับปักอยู่บนรถศึกของพระวิษณุอันเป็นที่สูงกว่า นี่เองจึงเป็นที่มาว่าเหตุใดครุฑจึงเป็นพาหนะของพระวิษณุ ส่วนหม้อน้ำอมฤตนั้น พระอินทร์ได้ตามมาขอคืน ครุฑก็บอกว่าตนต้องรักษาสัตย์ที่จะนำไปให้นาคเพื่อไถ่มารดาให้พ้นจากการเป็นทาส และให้พระอินทร์ตามไปเอาคืนเอง เมื่อครุฑเอาน้ำอมฤตไปให้นาคก็วางไว้บนหญ้าคา (และว่าได้ทำน้ำอมฤตหยดบนหญ้าคา ๒-๓หยด ด้วยเหตุนี้ หญ้าคาจึงถือเป็นสิ่งมงคล ใช้ประพรมน้ำมนต์ ส่วนงูเมื่อเห็นน้ำอมฤตบนหญ้าคาก็ไปเลียกิน ด้วยความไม่ระวัง จึงถูกคมหญ้าคาบาดกลางเป็นทางยาว งูจึงมีลิ้นแตกเป็นสองแฉกสืบมาจนทุกวันนี้)

ส่วนนาคเมื่อเห็นน้ำอมฤตก็ยินดีปล่อยนางวินตาแม่ครุฑให้เป็นอิสระ ขณะพากันไปสรงน้ำชำระกายเพื่อจะมากินน้ำอมฤตนั่นเอง พระอินทร์ก็นำหม้อน้ำอมฤตกลับไป ทำให้นาคไม่ได้กิน และยิ่งเพิ่มความเป็นศัตรูกับครุฑยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี มีเรื่องเล่าต่อมาว่า จากการที่พระอินทร์ได้ให้พรครุฑ จับนาคเป็นอาหารได้นั้น ทำให้พญานาควาสุกรีเกรงว่านาคจะสูญพันธุ์ จึงตกลงจะส่งนาคไปให้ครุฑกินที่ชายหาด วันหนึ่งถึงคราวของนาคหนุ่มชื่อสังขจูทะ จะต้องไปเป็นเหยื่อ แม่ก็ตามมาด้วยความรักและอาลัย ขอรัองอย่างไรก็ไม่ยอมกลับ วิทยาธรตนหนึ่งชื่อว่า ชีมูตวาหน เป็นผู้มีใจบุญสุนทานตัดแล้วซึ่งโลกีย์วิสัย ได้มาพบ ก็สอบถามได้ความแล้ว จึงเสนอตัวเองปลอมเป็นนาคให้ครุฑกินแทน

ปรากฏว่าขณะที่ครุฑกำลังกินนาคปลอม แทนที่จะแสดงความเจ็บปวด ชีมูตวาหนกลับแสดงความปลื้มใจจนครุฑผิดสังเกตว่าต้องผิดตัวแน่ แต่สอบถามก็ไม่ยอมรับ ขณะนั้นเองนาคสังขจูทะก็ได้มาแสดงตัว ว่าตนคือเหยื่อของครุฑ เมื่อทราบความจริง ครุฑก็เกิดความสำนึกบาป และซาบซึ้งในความเสียสละของชีมูตวาหน จึงวิ่งเข้าไปในกองไฟหมายจะฆ่าตัวตายเพื่อชำระบาป แต่ชีมูตวาหนได้ร้องห้าม และว่าหากจะหยุดทำบาปก็ให้เลิกกินนาคเป็นอาหารต่อไป ครุฑก็เชื่อและได้เหาะไปนำน้ำอมฤตมาประพรมกระดูกนาคที่ตนเคยจิกกินมาแต่กาลก่อน จนนาคทั้งหมดได้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่

ครุฑมีชายาชื่ออุนนติหรือวินายกา โอรสชื่อ สัมปาติหรือสัมพาที และชฎายุ ตามวรรณคดีพุทธศาสนากล่าวว่าครุฑมีขนาดใหญ่มาก วัดจากปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งได้ ๑๕๐ โยชน์ เวลากระพือปีกสามารถทำให้เกิดพายุใหญ่ เกิดมืดมนและทำลายบ้านเมืองให้หมดสิ้นไปได้ ที่อยู่ของครุฑเรียกว่า สุบรรณพิภพเป็นวิมานอยู่บนต้นสิมพลีหรือต้นงิ้ว อยู่เชิงเขาพระสุเมรุ ครุฑมีชื่อเรียกหลายนาม เช่น กาศยปิ และเวนไตย อันเป็นชื่อสืบมาจากกัศยปและวินตา บิดามารดา สุบรรณ หมายถึง ผู้มีปีกอันงาม ครุตมาน เจ้าแห่งนก สิตามัน มีหน้าสีขาว รักตปักษ์ มีปีกแดง เศวตโรหิต มีสีขาวและแดง สุวรรณกาย มีกายสีทอง คคเนศวร เจ้าแห่งอากาศ ขเคศวร ผู้เป็นใหญ่แห่งนก นาคนาศนะ ศัตรูแห่งนาค สุเรนทรชิต ผู้ชนะพระอินทร์ เป็นต้น

ตำนานดอกกุหลาบ



    กุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกไว้ชื่นชมมาแต่โบราณ ประมาณกันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อกว่า 70 ล้านปีมาแล้ว เคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบใน รัฐโคโลราโด และ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้พิสูจน์ว่ากุหลาบป่าเป็นพืชที่มีอายุถึง 40 ล้านปี แต่กุหลาบป่าสมัยโลกล้านปีนี้ มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกุหลาบสมัยนี้ เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์ ขยายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่างๆ มากมาย


    ความจริงแล้วกำเนิดของกุหลาบหรือกุหลาบป่านี้มีเฉพาะในแถบบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรของโลกเท่านั้น คือกำเนิดในภาคกลางของทวีปเอเชีย แล้วแพร่ขยายพันธุ์ไปตลอดซีกโลกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นแถบที่มีอากาศหนาวจัดอย่าง อาร์กติก อลาสก้า ไซบีเรีย หรือแถบอากาศร้อนอย่าง อินเดีย แอฟริกาเหนือ แต่ในบริเวณแถบใต้เส้นศูนย์สูตรอย่างทวีปออสเตรเลีย หรือเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรรวมทั้งแอฟริกาใต้ ไม่เคยมีปรากฏว่ามีกุหลาบป่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเลย

    ตามประวัติศาสตร์เล่าว่า กุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรด์จีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอก ส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน ชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมากถึงจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้ว ยังลงทุนสร้างเนอร์สเซอรี่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย สำหรับชาวโรมันแล้วเรียกได้ว่าดอกกุหลาบมีความสำคัญกับชีวิตประจำวัน เพราะชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ซึ่งเป็นทั้งของขวัญ เป็นดอกไม้สำหรับทำเป็นมาลัยต้อนรับแขก เป็นดอกไม้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ ส่วนน้ำมันกุหลาบยังใช้ทำเป็นยาได้อีกด้วย

    กุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความโรแมนติก ซึ่งมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงาม และความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วย

    หนามแหลม








    บางตำนานกล่าวว่ากุหลาบเกิดจากการชุมนุมของบรรดาทวยเทพ เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้กับนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งเทพธิดาแห่งบุปผาชาติ หรือ คลอริส บังเอิญไปพบนางนอนสิ้นชีพอยู่ ในตำนานนี้กล่าวว่า อโฟรไดท์ เป็นเทพผู้ประทานความงามให้ มีเทพอีกสามองค์ประทานความสดใส เสน่ห์ และความน่าอภิรมย์ และมี เซไฟรัส ซึ่งเป็นลมตะวันตกได้ช่วยพัดกลุ่มเมฆ เพื่อเปิดฟ้าให้กับแสงของเทพ อพอลโล หรือแสงอาทิตย์ส่องลงมาเพื่อประทานพรอมตะ จากนั้น ไดโอนีเซียส เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทานน้ำอมฤต และกลิ่นหอม เมื่อสร้างบุปผาชาติดอกใหม่นี้ขึ้นมาได้แล้ว เทพทั้งหลายก็เรียกดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นหอมและทรงเสน่ห์นี้ว่า Rosa จากนั้น เทพธิดาคลอริส ก็รวบรวมหยดน้ำค้างมาประดับเป็นมงกุฎ เพื่อมอบให้ดอกไม้นี้เป็นราชินีแห่งบุปผาชาติทั้งมวล จากนั้นก็ประทานดอกกุหลาบให้กับเทพ อีโรส ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก กุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก แล้วเทพ อีโรส ก็ประทานกุหลาบนี้ให้แก่ ฮาร์โพเครติส ซึ่งเป็นเทพแห่งความเงียบ เพื่อที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอของทวยเทพทั้งหลาย ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเงียบและความเร้นลับอีกอย่างหนึ่ง


    กุหลาบกลายเป็นของขวัญ ของกำนัลสำหรับการแสดงความรัก และมักจะมีผู้เปรียบเทียบความงามของผู้หญิงเป็นเสมือนดอกกุหลาบ และผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์โลกที่ได้รับสมญาว่าเป็นผู้หญิงงามเสมือนดอกกุหลาบคือ พระนางคลีโอพัตรา ซึ่งพระนางยังได้เคยต้อนรับ มาร์ค แอนโทนี คนรักของพระนาง ในห้องซึ่งโรยด้วยดอกกุหลาบหนาถึง 18 นิ้ว หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นกุหลาบ



    ตำนานดอกกุหลาบในเมืองไทย

    กุหลาบ มาจากคำว่า "คุล" ในภาษาเปอร์เชีย แปลว่า "สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ" และเข้าใจว่าจากเปอร์เซียได้แพร่เข้าไปในอินเดีย เพราะในภาษาฮินดีมีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเราเรียกกัน แต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ" ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า "Rhodon" ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก

    กุหลาบเข้ามาเมืองไทยสมัยใดไม่ทราบแน่ชัด แต่จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บันทึกไว้ว่าได้เห็นกุหลาบที่กรุงศรีอยุธยา และที่แน่นอนอีกแห่งก็คือ ในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ กล่าวถึงกุหลาบไว้ว่า


    กุหลาบกลิ่นเฟื่องฟุ้ง หอมรื่นชื่นชมสอง
    นึกกระทงใส่พานทอง หยิบรอจมูกเจ้า
    เนืองนอง สังวาส
    ก่ำเก้า บ่ายหน้าเบือนเสีย

    สำหรับตำนานดอกกุหลาบของไทยเล่ากันว่า เป็นบทละครพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา ในเรื่องเล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ "มัทนา" ซึ่งนางได้มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ "สุเทษณะ" ซึ่งพระองค์ทรงหลงรักเทพธิดา "มัทนา" มากแต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาบให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ

    จึงกลายเป็นตำนานดอกกุหลาบแต่นั้นมา



    กุหลาบขาว กับ กุหลาบแดง สีไหนเกิดก่อน ?


    มีหลายตำนานเล่าถึงการเกิดกุหลาบสีขาวและกุหลาบสีแดงไว้แตกต่างกัน ตำนานหนึ่งเล่าว่า กุหลาบขาว เกิดขึ้นก่อน กุหลาบแดง เดิมทีมีนกไนติงเกลตัวหนึ่งมาหลงรักเจ้าดอกกุหลาบขาวแสนสวย ขณะที่มันกำลังจะโอบกอดดอกกุหลาบด้วยความรักนั้นเอง หนามกุหลาบก็ทิ่มแทงที่หน้าอกของมัน หยดเลือดของเจ้านกไนติงเกลเลยทำให้ดอกกุหลาบสีขาวกลายเป็นสีแดง เลยมีดอกกุหลาบสีแดงนับแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนอีกตำนานหนึ่งก็เล่าว่ากุหลาบสีแดงใน สวนอีเดน เกิดจาการจุมพิตของ อีฟ เจ้าดอกกุหลาบขาวที่หญิงสาวจุมพิต เลยเกิดอาการขวยเขินจึงเปลี่ยนเป็นสีแดง

    นอกจากนี้ ความหมายของความรักในศาสนาคริสต์ ถือว่ากุหลาบสีขาวแทนความบริสุทธิ์ของ พระแม่มาเรีย และกุหลาบสีแดงเกิดจากหยาดพระโลหิตของ พระเยซูเจ้า เมื่อถูกสวมมงกุฎหนาม มันจึงเป็นสัญลักษณ์ของผู้ประกาศศาสนาที่พลีชีพเพื่อพระผู้เป็นเจ้า


    สีกุหลาบสื่อความหมาย

    ในวันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นวันแห่งความรัก ดอกกุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์ และของกำนัลของวันนี้ ดังนั้นเวลาที่คิดจะให้ดอกกุหลาบแก่ใครสักคน เราก็น่าจะรู้ความหมายของสีอันเป็นสื่อความหมายของดอกกุหลาบไว้บ้างก็น่าจะดี ซึ่งก็จะมีความดังนี้

  • สีแดง สื่อความหมายถึง ความรักและความปราถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ คิวปิด และอีรอส เป็นสิ่งนำโชคนำความรักมาให้แก่หญิงหรือชายที่ได้รับ
  • สีชมพู สื่อความหมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์
  • สีขาว สื่อความหมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ มิตรภาพ และความสงบเงียบ และนำโชคมาให้แก่หญิงหรือชายเช่นเดียวกับกุหลาบแดง
  • สีเหลือง สื่อความหมายถึง เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอนะ
  • สีขาวและแดง สื่อความหมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
  • กุหลาบตูม สื่อความหมายถึง ความงามและความเยาว์วัย


    • ช่อกุหลาบสื่อความหมาย

      จำนวนดอกกุหลาบในช่อก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สื่อความหมายได้เช่นกัน และในวันวาเลนไทน์หรือวันไหนๆ ถ้าคุณได้ช่อดอกกุหลาบจากใครสักคน เค้าคนนั้นอาจกำลังต้องการสื่อความหมายอะไรบางอย่างให้คุณรู้ก็เป็นได้


      จำนวนดอกกุหลาบ

      1

      2

      3

      7

      9

      10

      11

      12

      13

      15

      20

      21

      36

      40

      99

      100

      101

      108

      999


      รักแรกพบ

      แสดงความรู้สึกที่ดีให้กัน

      ฉันรักเธอ

      คุณทำให้ฉันหลงเสน่ห์

      เราสองคนจะรักกันตลอดไป

      คุณเป็นคนที่ดีเลิศ

      คุณเป็นสมบัติชิ้นที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน

      ขอให้เธอเป็นคู่ของฉันเพียงคนเดียว

      เพื่อนแท้เสมอ

      ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ

      ฉันมีความจริงใจต่อเธอ

      ชีวิตินี้ฉันมอบเพื่อเธอ

      ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน

      ความรักของฉันเป็นรักแท้

      ฉันรักเธอจนวันตาย

      ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ

      ฉันมีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น

      คุณจะแต่งงานกับฉันไหม

      ฉันจะรักคุณจนวินาทีสุดท้าย